เว็บแอปพลิเคชันส่วนตัวสร้างขึ้นสำหรับผู้ใช้ภายในองค์กร เช่น พนักงานประจำและพนักงานสัญญาจ้าง คุณสามารถทำให้แอปเหล่านี้ใช้งานได้โดยใช้ Chrome Enterprise Premium ในคอนโซลผู้ดูแลระบบของ Google
เพิ่มแอปลงในบัญชี Google Workspace
คุณจะโฮสต์แอปส่วนตัวไว้ใน Google Cloud, ผู้ให้บริการคลาวด์รายอื่น หรือศูนย์ข้อมูลภายในองค์กรได้
-
ลงชื่อเข้าใช้ คอนโซลผู้ดูแลระบบของ Google ด้วยบัญชีผู้ดูแลระบบ
หากไม่ได้ใช้บัญชีผู้ดูแลระบบ คุณจะเข้าถึงคอนโซลผู้ดูแลระบบไม่ได้
-
ไปที่เมนู
แอป > แอปในเว็บและอุปกรณ์เคลื่อนที่
ต้องมีสิทธิ์ของผู้ดูแลระบบสำหรับการจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่
- คลิกเพิ่มแอป
เพิ่มเว็บแอปส่วนตัว
- ป้อนชื่อแอปและ URL ที่ผู้ใช้เข้าถึงแอปในส่วนรายละเอียดแอปพลิเคชัน
- ระบุตำแหน่งที่โฮสต์แอปพลิเคชันของคุณ ดังนี้
- แอปที่โฮสต์ใน Google Cloud - ป้อน URL ของ Private Service Connect (PSC) ในส่วนรายละเอียดโฮสต์ของแอปพลิเคชัน โปรดดูรายละเอียดที่หัวข้อการตั้งค่าสำหรับแอปที่โฮสต์บน Google Cloud
- แอป HTTPS ที่โฮสต์กับผู้ให้บริการคลาวด์รายอื่น - ป้อน URL ภายในและหมายเลขพอร์ต โดยจะไม่รองรับแอป HTTP โปรดดูรายละเอียดที่หัวข้อการตั้งค่าสำหรับแอปที่โฮสต์กับผู้ให้บริการคลาวด์รายอื่นหรือศูนย์ข้อมูลภายในองค์กร
เพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ให้เลือกภูมิภาคที่อยู่ใกล้กับตำแหน่งที่โฮสต์แอปพลิเคชันมากที่สุด จากนั้นเลือกเครื่องมือเชื่อมต่อแอปที่จำเป็นในการเชื่อมต่อแอปพลิเคชันของคุณ
- คลิกเพิ่มแอปพลิเคชัน
การตั้งค่าสำหรับแอปที่โฮสต์กับ Google Cloud
สร้าง URL ของ Private Service Connect (PSC) เพื่อเชื่อมต่อแอปส่วนตัวในสภาพแวดล้อมของคุณ
หากต้องการตั้งค่า URL ของ PSC ให้สร้างตัวจัดสรรภาระงานภายใน แล้วสร้างไฟล์แนบบริการที่ใช้ที่อยู่ IP ภายใน
สร้างตัวจัดสรรภาระงานภายใน
แอปส่วนตัวใน Google Workspace ควรเผยแพร่โดยใช้ตัวจัดสรรภาระงานภายในที่มีการเปิดใช้การเข้าถึงทั่วโลก โปรดดูรายละเอียดที่หัวข้อเผยแพร่บริการพร้อมด้วยการอนุมัติโดยอัตโนมัติ
สร้างตัวจัดสรรภาระงานภายในสำหรับทรัพยากร Compute หรือ GKE
ข้อควรทราบก่อนที่จะเริ่มต้น: หากต้องการอนุญาตให้มีการสื่อสารผ่าน HTTPS ที่ปลอดภัย ให้ตั้งค่ากลุ่มอินสแตนซ์ที่กำหนดค่าให้แสดงคำขอในพอร์ต 443 โดยจะเลือกกลุ่มอินสแตนซ์ได้ในแท็บการกำหนดค่าแบ็กเอนด์
- ในคอนโซล Google Cloud ให้ไปที่หน้าการจัดสรรภาระงาน
- คลิกสร้างตัวจัดสรรภาระงาน
- คลิกเริ่มการกำหนดค่าสำหรับตัวจัดสรรภาระงานเครือข่าย (TCP/SSL) แล้วเลือกตัวเลือกต่อไปนี้
- ประเภทของตัวจัดสรรภาระงาน - ตัวจัดสรรภาระงานของเครือข่าย (TCP/UDP/SSL)
- พร็อกซีหรือการปล่อยผ่านสัญญาณ- การปล่อยผ่านสัญญาณ
- เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตหรือภายในเท่านั้น - ภายใน
- คลิกถัดไป
- คลิกต่อไป
- ป้อนชื่อตัวจัดสรรภาระงาน แล้วเลือกภูมิภาคและเครือข่ายที่จะติดตั้งใช้งานตัวจัดสรรภาระงาน
สำคัญ: เครือข่ายที่คุณเลือกสำหรับตัวจัดสรรภาระงานต้องเป็นเครือข่ายเดียวกับที่กลุ่มอินสแตนซ์ใช้ - เลือกแท็บการกำหนดค่าแบ็กเอนด์
- โปรโตคอล - เลือก TCP
- ประเภทสแต็ก IP - เลือก IPv4
- เลือกกลุ่มอินสแตนซ์
หากต้องการสร้างกลุ่มดังกล่าว ให้ไปที่กลุ่มอินสแตนซ์ - เลือกการตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานจากรายการ โดยสามารถสร้างการตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานใหม่ได้ดังนี้
- เลือกสร้างการตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงาน
- ป้อนชื่อการตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงาน (เช่น ping-port)
- เลือกขอบเขตภูมิภาค
- สำหรับโปรโตคอล ให้เลือก HTTPS
- คงพอร์ตไว้เป็น 443
- สำหรับโปรโตคอลพร็อกซี ให้เลือกไม่มี
- สำหรับเส้นทางคำขอ ให้คงไว้เป็น "/"
- เปิดใช้บันทึก
- เก็บค่าเริ่มต้นสำหรับเกณฑ์ประสิทธิภาพการทำงานไว้
- เลือกแท็บการกำหนดค่าฟรอนท์เอนด์
- (ไม่บังคับ) ป้อนชื่อสำหรับฟรอนท์เอนด์
- สำหรับเวอร์ชัน IP ให้เลือก IPv4
- เลือกเครือข่ายย่อย
- สำหรับจุดประสงค์ด้าน IP ภายใน ให้เลือกไม่แชร์
- สำหรับพอร์ต ให้เลือกเดี่ยว
- ป้อนหมายเลขพอร์ต 443
- สำหรับการเข้าถึงทั่วโลก ให้เลือกเปิดใช้
- เลือกแท็บตรวจสอบและดำเนินการให้เสร็จสิ้น เพื่อตรวจสอบการตั้งค่าตัวจัดสรรภาระงาน
- คลิกสร้าง
สร้างตัวจัดสรรภาระงานภายในสำหรับทรัพยากร Cloud Run
- ในคอนโซล Google Cloud ให้ไปที่หน้าการจัดสรรภาระงาน
- คลิกสร้างตัวจัดสรรภาระงาน
- คลิกเริ่มการกำหนดค่าสำหรับตัวจัดสรรภาระงานแอปพลิเคชัน (HTTP/S) แล้วเลือกรายการต่อไปนี้
- ประเภทของตัวจัดสรรภาระงาน — ตัวจัดสรรภาระงานของแอปพลิเคชัน (HTTP/HTTPS)
- เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตหรือภายในเท่านั้น - ภายใน
- การติดตั้งใช้งานข้ามภูมิภาคหรือภูมิภาคเดียว - ภูมิภาคเดียว
- คลิกถัดไป
- คลิกกำหนดค่า
- ป้อนชื่อตัวจัดสรรภาระงาน แล้วเลือกภูมิภาคและเครือข่ายที่จะติดตั้งใช้งานตัวจัดสรรภาระงาน
- เลือกแท็บการกำหนดค่าแบ็กเอนด์
- สร้างหรือเลือกบริการแบ็กเอนด์
- หากสร้างบริการ ให้เลือกประเภทแบ็กเอนด์เป็นกลุ่มปลายทางของเครือข่ายแบบ Serverless แล้วเลือกกลุ่มปลายทางของเครือข่าย
- หากยังไม่มีปลายทางของเครือข่ายแบบ Serverless ให้เลือกตัวเลือกเพื่อสร้างปลายทางใหม่
ก่อนสร้างกลุ่มปลายทางของเครือข่ายแบบ Serverless ให้สร้างบริการ Cloud Run ที่กลุ่มปลายทางจะชี้ไป
- เลือกแท็บการกำหนดค่าฟรอนท์เอนด์
- โปรโตคอล - เลือก HTTPS
- เลือกเครือข่ายย่อย
- ทำตามขั้นตอนบนหน้าจอเพื่อจองซับเน็ต หากยังไม่ได้ดำเนินการ
- เปิดใช้การเข้าถึงทั่วโลก
- สำหรับใบรับรองนี้ คุณสามารถเลือกสร้างใบรับรองใหม่หรือเลือกใบรับรองที่มีอยู่ก็ได้
- คลิกสร้าง
สร้าง URL ของไฟล์แนบบริการ
หากต้องการตั้งค่า URL ของ PSC ให้สร้างไฟล์แนบบริการที่ใช้ที่อยู่ IP ภายใน
- ในคอนโซล Google Cloud ให้ไปที่หน้า Private Service Connect
- คลิกแท็บเผยแพร่บริการ
- คลิกเผยแพร่บริการ
- เลือกประเภทตัวจัดสรรภาระงานสำหรับบริการที่คุณต้องการเผยแพร่
- ตัวจัดสรรภาระงานเครือข่ายการปล่อยผ่านสัญญาณภายใน
- ตัวจัดสรรภาระงานเครือข่ายพร็อกซีภายในระดับภูมิภาค
- ตัวจัดสรรภาระงานแอปพลิเคชันภายในระดับภูมิภาค
- เลือกตัวจัดสรรภาระงานภายในที่โฮสต์บริการที่คุณต้องการเผยแพร่
ระบบจะป้อนรายละเอียดสำหรับตัวจัดสรรภาระงานภายในที่เลือกในฟิลด์เครือข่ายและภูมิภาค - ในส่วนชื่อบริการ ให้ป้อนชื่อไฟล์แนบของบริการ
- เลือกซับเน็ตอย่างน้อย 1 รายการสำหรับบริการ หากต้องการเพิ่มซับเน็ตใหม่ ให้สร้างซับเน็ตโดยดำเนินการดังนี้
- คลิกจองซับเน็ตใหม่
- ป้อนชื่อและคำอธิบาย (ไม่บังคับ) สำหรับซับเน็ต
- เลือกภูมิภาคสำหรับซับเน็ต
- ป้อนช่วง IP เพื่อใช้กับซับเน็ต แล้วคลิกเพิ่ม
- สำหรับค่ากำหนดการเชื่อมต่อ ให้เลือกยอมรับการเชื่อมต่อทั้งหมดโดยอัตโนมัติ
- คลิกเพิ่มบริการ
- คลิกบริการที่เผยแพร่แล้ว ใช้ชื่อไฟล์แนบของบริการในช่องไฟล์แนบของบริการเพื่อสร้าง URL ดังนี้
https://googleapis.com/compute/v1/SERVICE_ATTACHMENT_NAME - ป้อน URL เมื่อเพิ่มแอปส่วนตัวใน Google Workspace โปรดดูหัวข้อเพิ่มแอปลงในบัญชี Workspace
การตั้งค่าสำหรับแอปที่โฮสต์กับผู้ให้บริการคลาวด์รายอื่นหรือศูนย์ข้อมูลภายในองค์กร
หากต้องการเชื่อมต่อระบบคลาวด์หรือเครือข่ายภายในองค์กรกับ Google Cloud อย่างปลอดภัย ให้เพิ่มเครื่องมือเชื่อมต่อแอป
เครื่องมือเชื่อมต่อแอปช่วยให้คุณเชื่อมต่อแอปพลิเคชันของคุณจากระบบคลาวด์อื่นไปยัง Google ได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องใช้ VPN แบบเว็บไซต์สู่เว็บไซต์
สร้าง VM ในเครือข่ายที่ไม่ใช่ของ Google
คุณต้องติดตั้ง Agent ระยะไกลสำหรับเครื่องมือเชื่อมต่อแอปแต่ละรายการในเครื่องเสมือน (VM) โดยเฉพาะ หรือในเซิร์ฟเวอร์ Bare Metal ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ใช่ของ Google
- หากต้องการสร้าง VM โปรดขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลเครือข่าย หรือทำตามวิธีการจากผู้ให้บริการคลาวด์
- หากต้องการเรียกใช้ Agent ระยะไกล ให้ใช้ Docker บน VM หรือเซิร์ฟเวอร์แต่ละรายการ
- ตรวจสอบว่าไฟร์วอลล์เครือข่ายสำหรับ VM ของ Agent ระยะไกลอนุญาตการรับส่งข้อมูลขาออกทั้งหมดซึ่งเริ่มต้นที่พอร์ต 443 สำหรับช่วง IP ของ IAP-TCP 35.235.240.0/20 โปรดดูหัวข้อยืนยันการกำหนดค่าไฟร์วอลล์สำหรับโดเมนอื่นๆ ที่ไฟร์วอลล์ VM ของ Agent ระยะไกลควรอนุญาตให้มีการรับส่งข้อมูลขาออกได้
เพิ่มเครื่องมือเชื่อมต่อแอปและติดตั้ง Agent ระยะไกล
-
วิธีเพิ่มเครื่องมือเชื่อมต่อแอป
-
ลงชื่อเข้าใช้ คอนโซลผู้ดูแลระบบของ Google ด้วยบัญชีผู้ดูแลระบบ
หากไม่ได้ใช้บัญชีผู้ดูแลระบบ คุณจะเข้าถึงคอนโซลผู้ดูแลระบบไม่ได้
-
ไปที่เมนู
แอป > แอปในเว็บและอุปกรณ์เคลื่อนที่
ต้องมีสิทธิ์ของผู้ดูแลระบบสำหรับการจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่
- คลิกแท็บเครื่องมือเชื่อมต่อ BeyondCorp Enterprise (BCE)
- คลิกเพิ่มเครื่องมือเชื่อมต่อ
- ป้อนชื่อเครื่องมือเชื่อมต่อ เช่น Connect-myapp
- เลือกภูมิภาคที่อยู่ใกล้กับสภาพแวดล้อมที่ไม่ใช่ของ Google
- คลิกเพิ่มเครื่องมือเชื่อมต่อ
- หากต้องการดูสถานะ ให้คลิก
งานของคุณ ที่ด้านขวาบน
-
- สร้างอินสแตนซ์ VM เพื่อโฮสต์ Agent ระยะไกล
ทำตามวิธีการที่ผู้ดูแลเครือข่ายหรือผู้ให้บริการคลาวด์ระบุ โปรดดูหัวข้อสร้าง VM ในเครือข่ายที่ไม่ใช่ของ Google - ติดตั้ง Agent ระยะไกล
- คลิกชื่อเครื่องมือเชื่อมต่อแอป
- คลิกติดตั้ง Agent ระยะไกล
- ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ใช่ของ Google ให้ติดตั้ง Agent ระยะไกล ดังนี้
- สร้างอินสแตนซ์เครื่องเสมือน (VM) เพื่อโฮสต์ Agent ระยะไกล จากนั้นทำตามวิธีการที่ผู้ดูแลเครือข่ายหรือผู้ให้บริการคลาวด์ระบุ
- ติดตั้ง Docker ซึ่งจำเป็นสำหรับการเรียกใช้ Agent ระยะไกล โปรดดูวิธีการในเอกสารประกอบออนไลน์เพื่อติดตั้ง Docker Engine
- ติดตั้งและลงทะเบียน Agent ระยะไกลโดยใช้คำสั่ง CLI ที่แสดงในหน้าเครื่องมือเชื่อมต่อแอป Google Workspace
- คัดลอกและวางคีย์สาธารณะที่แสดงขึ้นหลังจากลงทะเบียน Agent ระยะไกลเรียบร้อยแล้ว
- คลิกบันทึก
หน้าเครื่องมือเชื่อมต่อแอปควรจะแสดงว่าเพิ่มคีย์สาธารณะเรียบร้อยแล้ว
จำกัดสิทธิ์เข้าถึงและการตรวจสอบสิทธิ์
-
ลงชื่อเข้าใช้ คอนโซลผู้ดูแลระบบของ Google ด้วยบัญชีผู้ดูแลระบบ
หากไม่ได้ใช้บัญชีผู้ดูแลระบบ คุณจะเข้าถึงคอนโซลผู้ดูแลระบบไม่ได้
-
ไปที่เมนู
แอป > แอปในเว็บและอุปกรณ์เคลื่อนที่
ต้องมีสิทธิ์ของผู้ดูแลระบบสำหรับการจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่
- คลิกแท็บแอปจากนั้นคลิกแอปเพื่อเปิดหน้ารายละเอียด
- คลิกการตั้งค่าขั้นสูง
- หน้า Landing Page 403 - ป้อนที่อยู่เว็บที่ระบบจะเปลี่ยนเส้นทางผู้ใช้ไปในกรณีที่ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าถึงแอป โดยใช้รูปแบบ https://<url>
- โดเมนการตรวจสอบสิทธิ์ - ป้อน URL การลงชื่อเพียงครั้งเดียว (SSO) ขององค์กรเพื่ออนุญาตให้ผู้ใช้เข้าสู่ระบบโดยใช้ข้อมูลเข้าสู่ระบบขององค์กรได้ ซึ่งการดำเนินการนี้ยังจะปฏิเสธสิทธิ์การเข้าถึงของผู้ใช้ที่ไม่มีข้อมูลเข้าสู่ระบบที่ถูกต้องสำหรับโดเมน Google Workspace ของคุณด้วย ใช้รูปแบบ sso.your.org.com
- โดเมนที่อนุญาต - เลือกช่องเปิดใช้โดเมนที่อนุญาตเพื่อจำกัดการเข้าถึงของผู้ใช้ไว้เฉพาะโดเมนที่ระบุเท่านั้น โดยให้คั่นรายการด้วยคอมมา เช่น test.your.org.com, prod.your.org.com
- การตรวจสอบสิทธิ์ซ้ำ - ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้เพื่อกำหนดให้ผู้ใช้ต้องตรวจสอบสิทธิ์อีกครั้งหลังจากผ่านไประยะหนึ่ง เช่น ใช้คีย์ความปลอดภัยแบบแตะ หรือการยืนยันแบบ 2 ขั้นตอน
- การเข้าสู่ระบบ: กำหนดให้ผู้ใช้ตรวจสอบสิทธิ์ซ้ำด้วยชื่อผู้ใช้/รหัสผ่านหลังจากเข้าสู่ระบบเป็นระยะเวลาหนึ่ง
- คีย์ความปลอดภัย: กำหนดให้ผู้ใช้ตรวจสอบสิทธิ์ซ้ำโดยใช้คีย์ความปลอดภัย
- ปัจจัยที่สองที่ลงทะเบียนแล้ว: กำหนดให้ผู้ใช้ตรวจสอบสิทธิ์ซ้ำโดยใช้วิธีการตรวจสอบสิทธิ์จากปัจจัยที่สอง (2FA)
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่การตรวจสอบสิทธิ์ IAP ซ้ำ
กำหนดการควบคุมการเข้าถึงแบบ Context-Aware
เมื่อใช้การเข้าถึงแบบ Context-Aware คุณสามารถควบคุมแอปส่วนตัวที่ผู้ใช้จะเข้าถึงได้โดยพิจารณาจากบริบทของผู้ใช้ เช่น อุปกรณ์ของผู้ใช้นั้นเป็นไปตามนโยบายด้าน IT หรือไม่
ตัวอย่างเช่น คุณสามารถสร้างนโยบายควบคุมการเข้าถึงแบบละเอียดสำหรับแอปที่เข้าถึงข้อมูล Google Workspace โดยอิงตามแอตทริบิวต์ต่างๆ เช่น ข้อมูลประจำตัวของผู้ใช้ สถานที่ตั้ง สถานะความปลอดภัยของอุปกรณ์ และที่อยู่ IP
โปรดดูรายละเอียดที่หัวข้อกำหนดระดับการเข้าถึงให้แอปส่วนตัว